
ตลาดที่อยู่อาศัยในปีพ.ศ.2563 ค่อนข้างมีการแข่งขันสูง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวรุนแรงจากภาวะเศรษฐกิจตั้งแต่ปีที่แล้ว และจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีผลให้เกิดการชะงักงันของระบบเศรษฐกิจแบบเฉียบพลัน
อีกทั้งมีคนจำนวนมากว่างงานทั้งแบบชั่วคราวจากการปิดให้ดำเนินการของธุรกิจบางประเภท เช่น ศูนย์การค้า โรงแรม สำนักงาน หรือร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ แม้ว่าจะไม่ได้ปิดการให้บริการแบบ 100% แต่ก็มีผลต่อรายได้ของกิจการต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งการขอให้ประชาชนงดการเดินทางหรือหลีกเลี่ยงการเข้าสู่พื้นที่สาธารณะจนทั่วทุกที่ในประเทศไทยเงียบเหงาไปเลย
ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้คนทั้งประเทศตระหนักถึงความหวั่นกลัวต่อไวรัสโควิด-19 นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มความไม่เชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวให้มากขึ้นจากที่เป็นมาก่อนหน้านี้ไปอีก
ความไม่เชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในระยะยาวมีผลชัดเจนต่อการใช้จ่ายเงินของคนไทย การใช้จ่ายลดลงยิ่งมีผลชัดเจนระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ขาดการหมุนเวียนของระบบการเงินในประเทศ เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้จ่ายเงินลดลงการซื้ออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นการสร้างภาระหนี้สินระยะยาวหรือเป็นการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีในภาวะแบบนี้
นอกจากนี้การการขอสินเชื่อธนาคารในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ก็ค่อนข้างยากลำบากเช่นกัน เพราะธนาคารต่างๆ เข้มงวดในการพิจารณาการขอสินเชื่อมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ประกอบกับเรื่องของเกณฑ์ LTV ใหม่ที่มีผลโดยตรงต่อคนที่มีกำลังซื้อส่วนหนึ่งซึ่งเลือกที่จะชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เพื่อให้พ้นเกณฑ์ LTV อีกทั้งการงดการเดินทางระหว่างประเทศต่อเนื่องมาหลายเดือน
ผู้ประกอบการที่ขายคอนโดมิเนียมบางส่วนให้กับชาวต่างชาติได้รับผลกระทบแบบเลี่ยงไม่ได้ เพราะจำเป็นต้องเลื่อนการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติออกไปก่อน หรืออาจจะจำใจให้ชาวต่างชาติที่วางเงินจองและผ่อนดาวน์ไปก่อนหน้านี้ยกเลิกสัญญาไป เนื่องจากยังไม่รู้ว่าจะสามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้แบบปกติเมื่อไหร่ ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมานั้นมีผลต่อตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทยโดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่ก่อนหน้านี้ก็มีคอนโดมิเนียมเหลือขายในตลาดสะสมเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว
เมื่อหลายๆ ปัจจัยมีผลต่อการซื้อที่อยู่อาศัยของคนในประเทศขนาดนี้ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เลือกที่จะชะลอการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมออกไปก่อน และให้ความสำคัญหรือเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านจัดสรรให้มากขึ้นแบบชัดเจน โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีสัดส่วนของโครงการบ้านจัดสรรหรือมูลค่ารวมของโครงการบ้านจัดสรรมากกว่าโครงการคอนโดมิเนียมแบบชัดเจน
ผู้ประกอบการบางรายอาจจะไม่เปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมเลยในปีพ.ศ.2563 หรือบางรายปรับแผนการเปิดขายโครงการใหม่ของตนเองเมื่อผ่านพ้นช่วงไตรมาสที่ 1 พ.ศ.2563 โดยเลื่อนการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมออกไปในปีพ.ศ.2564 ทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด และโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในปีพ.ศ.2563 เกือบทั้งหมดจะเป็นโครงการที่มีราคาขายไม่สูงมาก
ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ในช่วงประมาณ 70,000 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร อาจจะมีต่ำกว่านี้หรือสูงกว่านี้บ้างแต่ก็ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านี้ การที่ผู้ประกอบการเลือกเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรมากขึ้นเพราะพวกเขายังคงต้องการรายได้จากการเปิดขายโครงการใหม่อยู่
อีกทั้งยังต้องการรายได้ในอนาคตจากการโอนกรรมสิทธิ์เพราะเมื่อลดจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมลงไปแล้ว ก็จำเป็นต้องมีรายได้จากการเปิดขายโครงการบ้านจัดสรรเข้ามาทดแทน ยกเว้นผู้ประกอบการบางรายที่อาจจะมีรายได้จากช่องทางอื่นๆ เข้ามาทดแทน และอาจจะมีผู้ประกอบการบางรายที่มีความชำนาญในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้านจัดสรร นอกจากนี้ ผู้ซื้อบ้านจัดสรรจะเป็นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงต่างจากผู้ซื้อคอนโดมิเนียมที่บางส่วนเป็นผู้ซื้อเพื่อการลงทุนและผู้ซื้อกลุ่มนี้ก็มีการสร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้

ฟีนิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ฯ ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ